เมนู

เป็นต้น พึงทราบในผัสสปัญจกะ (หมวด 5 แห่งผัสสะ) ว่า เวทนานั้นเป็น
อุเบกขาเวทนาเท่านั้น. อนึ่ง ในหมวด 5 แห่งฌาน และหมวด 8 แห่ง
อินทรีย์ ก็ตรัสว่า เป็นอุเบกขา เป็นอุเบกขินทรีย์นั่นแล. บทที่เหลือนอกนี้
ไม่มีในฌานที่ 3 แม้ในฌานที่ 4 นี้ ก็ไม่มีเหมือนกัน. แม้ในโกฏฐาสวาร
ก็ตรัสว่า ฌานมีองค์ 2 คำนี้พึงทราบด้วยสามารถแห่งอุเบกขาและจิตเตกัคคตา
นั่นแหละ. คำที่เหลือทั้งปวงเป็นเช่นกับตติยฌานนั่นแล.
ฌานจุตกนัยจบ

ปัญจกนัย



[149] ธรรมเป็นกุศล เป็นไฉน ?
โยคาวจรบุคคลเจริญมรรคปฏิปทาเพื่อเข้าถึงรูปภูมิ สงัดจากกาม
สงัดจากอกุศลธรรมทั้งหลายแล้ว บรรลุปฐมฌานที่มีปฐวีกสิณเป็นอารมณ์ ฯลฯ
อยู่ในสมัยใด ผัสสะ ฯลฯ อวิกเขปะ มีในสมัยนั้น ฯลฯ
สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมเป็นกุศล.
[150] ธรรมเป็นกุศล เป็นไฉน ?
โยคาวจรบุคคลเจริญมรรคปฏิปทาเพื่อเข้าถึงรูปภูมิ บรรลุทุติยฌานที่มี
ปฐวีกสิณเป็นอารมณ์ ไม่มีวิตก มีแต่วิจาร กับปีติและสุขอันเกิดจากสมาธิ
อยู่ในสมัยใด ผัสสะ เวทนา สัญญา เจตนา จิต วิจาร ปีติ สุข เอกัคคตา

สัทธินทรีย์ วิริยินทรีย์ สตินทรีย์ สมาธินทรีย์ ปัญญินทรีย์ มนินทรีย์
โสมนัสสินทรีย์ ชีวิตินทรีย์ สัมมาทิฏฐิ สัมมาวายามะ ฯลฯ ปัคคาหะ
อวิกเขปะ มีในสมัยนั้น หรือนามธรรมที่อิงอาศัยเกิดขึ้นแม้อื่นใด มีอยู่ใน
สมัยนั้น.
สภาวธรรมเหล่านั้นชื่อว่า ธรรมเป็นกุศล ฯลฯ
[151] ก็ขันธ์ 4 อายตนะ 2 ธาตุ 2 อาหาร 3 อินทรีย์ 8 ฌาน
มีองค์ 4 มรรคมีองค์ 4 พละ 7 เหตุ 3. ผัสสะ 1 ฯลฯ ธรรมายตนะ 1
ธรรมธาตุ 1 มีในสมัยนั้น หรือนามธรรมที่อิงอาศัยเกิดขึ้นแม้อื่นใด มีอยู่ใน
สมัยนั้น.
สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมเป็นกุศล ฯลฯ
[152] สังขารขันธ์ มีในสมัยนั้น เป็นไฉน ?
ผัสสะ เจตนา วิจาร ปีติ เอกัคคตา สัทธินทรีย์ วิริยินทรีย์
สตินทรีย์ สมาธินทรีย์ ปัญญินทรีย์ ชีวิตินทรีย์ สัมมาทิฏฐิ สัมมาวายามะ ฯลฯ
ปัคคาหะ อวิกเขปะ หรือนามธรรมที่อิงอาศัย เกิดขึ้นแม้อื่นใด มีอยู่ในสมัยนั้น
เว้นเวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ วิญญาณขันธ์ นี้ชื่อว่า สังขารขันธ์ มีใน
สมัยนั้น ฯลฯ
สภาวธรรมเหล่านั้นชื่อว่า ธรรมเป็นกุศล.
[153] ธรรมเป็นกุศล เป็นไฉน ?
โยคาวจรบุคคลเจริญมรรคปฏิปทาเพื่อเข้าถึงรูปภูมิ บรรลุตติยฌาน
ที่มีปฐวีกสิณเป็นอารมณ์ ภายในผ่องใส เพราะวิตกวิจารสงบ ฯลฯ อยู่ใน
สมัยใด ผัสสะ เวทนา สัญญา เจตนา จิต ปีติ สุข เอกัคคตา สัทธินทรีย์

วิริยินทรีย์ สิตินทรีย์ สมาธินทรีย์ ปัญญินทรีย์ มนินทรีย์ โสมนัสสินทรีย์
ชีวิตินทรีย์ สัมมาทิฏฐิ สัมมาวายามะ ฯลฯ ปัคคาหะ อวิกเขปะ มีในสมัยนั้น
หรือนามธรรมที่อิงอาศัยเกิดขึ้นแม้อื่นใด มีอยู่ในสมัยนั้น.
สภาวธรรมเหล่านั้นชื่อว่า ธรรมเป็นกุศล ฯลฯ
[154] ก็ขันธ์ อายตนะ 2 ธาตุ 2 อาหาร 3 อินทรีย์ 8 ฌาน
มีองค์ 3 มรรคมีองค์ 4 พละ 7 เหตุ 3 ผัสสะ 1 ฯลฯ ธรรมมายตนะ 1
ธรรมธาตุ 1 มีในสมัยนั้น หรือนามธรรมที่อิงอาศัยเกิดขึ้นแม้อื่นใด มีอยู่ใน
สมัยนั้น.
สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมเป็นกุศล.
[155] สังขารขันธ์ มีในสมัยนั้น เป็นไฉน ?
ผัสสะ เจตนา ปีติ เอกัคคตา สัทธินทรีย์ วิริยินทรีย์ สตินทรีย์
สมาธินทรีย์ ปัญญินทรีย์ ชีวิตินทรีย์ สัมมาทิฏฐิ สัมมาวายามะ ฯลฯ ปัคคาหะ
อวิกเขปะ หรือนามธรรมที่อิงอาศัยเกิดขึ้นแม้อื่นใด มีอยู่ในสมัยนั้น เว้น
เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ วิญญาณขันธ์ นี้ชื่อว่า สังขารขันธ์ มีในสมัยนั้น ฯลฯ
สภาวธรรมเหล่านั้นชื่อว่า ธรรมเป็นกุศล.
[156] ธรรมเป็นกุศล เป็นไฉน ?
โยคาวจรบุคคลเจริญมรรคปฏิปทาเพื่อเข้าถึงรูปภูมิ เพราะคลายปีติ
ได้อีกด้วย ฯลฯ บรรลุจตุตถฌานที่มีปฐวีกสิณเป็นอารมณ์อยู่ในสมัยใด ผัสสะ
เวทนา สัญญา เจตนา จิต สุข เอกัคคตา สัทธินทรีย์ วิริยินทรีย์
สตินทรีย์ สมาธินทรีย์ ปัญญินทรีย์ มนินทรีย์ โสมนัสสินทรีย์ ชีวิตินทรีย์
สัมมาทิฏฐิ สัมมาวายามะ ฯลฯ ปัคคาหะ อวิกเขปะ มีในสมัยนั้น. หรือ
นามธรรมที่อิงอาศัยเกิดขึ้นแม้อื่นใด อยู่ในสมัยนั้น.

สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมเป็นกุศล ฯลฯ
[157] ก็ขันธ์ 4 อายตนะ 2 ธาตุ 2 อาหาร 3 อินทรีย์ 8
ฌานมีองค์ 2 มรรคมีองค์ 4 พละ 7 เหตุ 3 ผัสสะ 1 ฯลฯ ธรรมายตนะ 1
ธรรมธาตุ 1 มีในสมัยนั้น หรือนามธรรมที่อิงอาศัยเกิดขึ้นแม้อื่นใด มีอยู่
ในสมัยนั้น.
สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมเป็นกุศล ฯลฯ
[158] สังขารขันธ์ มีในสมัยนั้น เป็นไฉน ?
ผัสสะ เจตนา เอกัคคตา สัทธินทรีย์ วิริยินทรีย์ สตินทรีย์
สมาธินทรีย์ ปัญญินทรีย์ ชีวิตินทรีย์ สัมมาทิฏฐิ สัมมาวายามะ ฯลฯ
ปัคคาหะ อวิกเขปะ หรือนามธรรมที่อิงอาศัยเกิดขึ้นแม้อื่นใด มีอยู่ในสมัยนั้น
เว้นเวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ วิญญาณขันธ์ นี้ชื่อว่า สังขารขันธ์ มีใน
สมัยนั้น ฯลฯ
สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมเป็นกุศล.
[159] ธรรมเป็นกุศล เป็นไฉน ?
โยคาวจรบุคคลเจริญมรรคปฏิปทาเพื่อเข้าถึงรูปภูมิ บรรลุปัญจมฌาน
ที่มีปฐวีกสิณเป็นอารมณ์ ไม่มีทุกข์ไม่มีสุข เพราะละสุขและทุกข์ได้ ฯลฯ
อยู่ในสมัยใด ผัสสะ เวทนา สัญญา เจตนา จิต อุเบกขา เอกัคคตา
สัทธินทรีย์ วิริยินทรีย์ สตินทรีย์ สมาธินทรีย์ ปัญญินทรีย์ มนินทรีย์
อุเปกขินทรีย์ ชีวิตินทรีย์ สัมมาทิฏฐิ สัมมาวายามะ ฯลฯ ปัคคาหะ อวิกเขปะ
มีในสมัยนั้น หรือนามธรรมที่อิงอาศัยเกิดขึ้นแม้อื่นใด มีอยู่ในสมัยนั้น.
สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมเป็นกุศล ฯลฯ

[160] ก็ขันธ์ 4 อายตนะ 2 ธาตุ 2 อาหาร 3 อินทรีย์ 8
ฌานมีองค์ 2 มรรคมีองค์ 4 พละ 7 เหตุ 3 ผัสสะ 1 ฯลฯ ธรรมายตนะ 1
ธรรมธาตุ 1 มีในสมัยใด หรือนามธรรมที่อิงอาศัยเกิดขึ้นแม้อื่นใด มีอยู่ใน
สมัยนั้น.
สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมเป็นกุศล ฯลฯ
[161] สังขารขันธ์ มีในสมัยนั้น เป็นไฉน ?
ผัสสะ เจตนา เอกัคคตา สัทธินทรีย์ วิริยินทรีย์ สตินทรีย์
สมาธินทรีย์ ปัญญินทรีย์ ชีวิตินทรีย์ สัมมาทิฏฐิ สัมมาวายามะ ฯลฯ
ปัคคาหะ อวิกเขปะ หรือนามธรรมที่อิงอาศัยเกิดขึ้นแม้อื่นใด มีอยู่ในสมัยนั้น
เว้นเวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ วิญญาณขันธ์ นี้ชื่อว่า สังขารขันธ์ มีใน
สมัยนั้น ฯลฯ
สภาวธรรมเหล่านั้นชื่อว่า ธรรมเป็นกุศล.
ปัญจกนัย จบ

อรรถกถาจิตตุปปาทกัณฑ์



อธิบายฌานปัญจกนัย



บัดนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเริ่มปัญจกนัย (นัยแห่งฌานหมวด 5)
ว่า กตเม ธมฺมา กุสลา (ธรรมเป็นกุศล เป็นไฉน) ดังนี้.
ถามว่า เพราะเหตุไร พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงทรงแสดงฌานปัญจกนัย
ตอบว่า เพราะแสดงตามอัธยาศัยของบุคคล และเพราะความงามแห่งเทศนา
ได้ยินว่า ในเทวบริษัทที่ประชุมกัน วิตกของเทวดาบางพวกเท่านั้นปรากฏ
เป็นของหยาบ ส่วนวิจาร ปีติ สุข เอกัคคตาจิตปรากฏเป็นของสงบ พระ-
ศาสดาทรงจำแนกชื่อทุติยฌานมีองค์ 4 ซึ่งไม่มีวิตกมีแต่วิจารด้วยสามารถแห่ง
สัปปายะแก่เทวดาเหล่านั้น บางพวกมีวิจารปรากฏโดยเป็นของหยาบ ปีติ สุข
เอกัคคตาจิตปรากฏโดยเป็นของสงบ พระศาสดาก็ทรงจำแนกชื่อตติยฌาน
มีองค์ 3 ด้วยสามารถสัปปายะแก่เทวดาเหล่านั้น บางพวกมีปีติปรากฏโดยเป็น
ของหยาบ สุขเอกัคคตาจิตปรากฏโดยความสงบ พระศาสดาก็ทรงจำแนกชื่อ
จตุตถฌาน มีองค์ 2 ด้วยสามารถสัปปายะแก่เทวดาเหล่านั้น บางพวกมีสุข
ปรากฏโดยเป็นของหยาบ อุเบกขาและเอกัคคตาจิตปรากฏโดยความสงบ
พระศาสดาก็ทรงจำแนกชื่อปัญจมฌานมีองค์ 2 ด้วยสามารถแห่งสัปปายะแก่
เทวดาเหล่านั้น นี้ชื่อว่า อัธยาศัยของบุคคลก่อน.
ส่วนชื่อว่า เทศนาที่ถึงความงามแห่งเทศนา เพราะธรรมธาตุใด
อันเวไนยสัตว์แทงตลอดดีแล้ว ธรรมธาตุนั้น พระตถาคตทรงแทงตลอดมา
ดีแล้ว เพราะฉะนั้น พระศาสดาผู้ทรงบรรลุถึงความงามแห่งเทศนา ผู้ฉลาด
ในวิธีเทศนาเพราะทรงมีพระญาณใหญ่ ทรงกำหนดเทศนาได้ตามพระประสงค์